วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แข่งเรือพิจิตร


ประวัติการแข่งขันเรือยาวจังหวัดพิจิตร

                    การแข่งขันเรือยาว เป็นวัฒนธรรมประเพณีของชาติมาหลายยุคหลายสมัย   สำหรับการแข่งขันเรือยาวประเพณีของวัดท่าหลวง เริ่มตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระธรรมทัสสี-มุนีวงศ์ (เอี่ยม) มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง และเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ประมาณ พ.ศ. 2450 แข่งขันติดต่อกันมาจนกระทั่งถึงสมัยของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระฑีฆทัสสี-มุนีวงศ์(ไป๋  นาควิจิตร) มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าหลวงและเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ในสมัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ เป็นเจ้าอาวาส       การกำหนดงานจัดงานแข่งขันเรือกำหนดตามวันทางจันทรคติคือวันขึ้น  6  ค่ำ  เดือน  11  ของทุกปี     ภายหลังน้ำในแม่น้ำน่านลดลงไวเกินไปไม่เหมาะสมจะแข่งขันเรือยาวจึงเปลี่ยนมาเป็นวันขึ้น   6  ค่ำ เดือน 10  และจัดแข่งขันเพียงวันเดียว
                    การแข่งขันเรือยาวของวัดท่าหลวง ประชาชนให้ความสนใจมาชมงานอย่างคับคั่งล้นหลามตลอดมา เพราะวัดท่าหลวงตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพิจิตรเพียงวัดเดียวเท่านั้น  เจ้าคณะจังหวัดพิจิตรเป็นผู้จัดสนับสนุน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร (สมัยก่อนเรียกผู้ว่าราชการ ว่า ข้าหลวง หรือ พ่อเมือง) สิ่งที่จูงใจอีกอย่างหนึ่ง คือ  ภายในวัดท่าหลวงมีพระพูทธรูปทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง    คือ   หลวงพ่อเพชร  สมัยเชียงแสนสิงห์ 1  รุ่นแรก  ขนาดหน้าตักกว้าง  2  ศอก  6  นิ้ว   เป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดพิจิตร     และจังหวัดใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประชาชน มาชมการแข่งขันเรือยาวแล้วได้มีโอกาสนมัสการ  และปิดทององค์หลวงพ่อเพชรด้วยมือของตนเองด้วย(เมื่อหลวงพ่อเพชรประดิษฐานอยู่ที่อุโบสถหลังเก่าที่หลวงพ่อเอี่ยมสร้างด้วยไม้สักเกือบทั้งหลัง) ได้อนุญาตให้ปิดทองที่องค์จริงได้ ต่อมา   พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ (ไป๋ นาควิจิตร) เมื่อ พ.ศ. 2492 ได้อัญเชิญหลวงพ่อเพชรไปประดิษฐานเหนือพระแท่นฐานชุกชี แล้วลงลักปิดทองเรียบร้อยทั้งองค์   แล้วห้ามประชาชนปิดทององค์จริง เพราะว่าจะทำให้เสียความงามพระพุทธลักษณะ ปัจจุบันประชาชนให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเพชรทั่วประเทศไทยแล้ว  แม้วันปกติพระอุโบสถที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อเพชรก็ไม่ว่างจากสาธุชนที่มานมัสการ ผู้ที่มาเที่ยวเมืองพิจิตร หรือมาชมงานแข่งขันเรือยาวประเพณี หากยังไม่ได้ไปนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร ผู้นั้น ชื่อว่ายังมาไม่ถึงเมืองพิจิตร และวัดท่าหลวง เพราะว่าหลวงพ่อเพชรเป็นจุดรวมจิตใจของประชาชนชาวจังหวัดพิจิตร
                    ในการจัดรางวัลการแข่งขันเรือยาวประเพณีนั้น  ในสมัยหลวงพ่อเอี่ยมและต้นสมัยหลวงพ่อไป๋นั้น จัดผ้าห่มหลวงพ่อเพชรพับใส่พานให้เป็นรางวัลชนะเลิศ     และรองชนะเลิศแก่เรือยาวเมื่อเรือยาวลำใดได้ผ้าห่มหลวงพ่อเพชรไปแล้ว    จะพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง   จะนำผ้ารางวัลนั้นพันไว้ที่โขนเรือ    โดยถือว่าเป็นสิริมงคลแก่เทือกเรือ (ฝีพาย) ของตน ภายหลังคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าผ้าห่มหลวงพ่อเพชรเป็นของสูง   การนำผ้าห่มของหลวงพ่อเพชรไปพันที่โขนเรืออาจไม่เหมาะสม  จึงยกเลิกเสีย แล้วจัดทำธงที่มีภาพหลวงพ่อเพชรเป็นรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศแทน  ต่อมา  ได้ทำธงแบบนี้ให้เป็นอนุสรณ์แก่เรือที่เข้าร่วมแข่งขันทุกลำ
                    การแข่งขันเรือยาวประเพณีของจังหวัดพิจิตร  ณ  วัดท่าหลวง    ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย ลำดับคือ  เพิ่มวันแข่งขันจากหนึ่งวันมาเป็นสองวัน  เพราะเรือยาวประเภทต่าง ๆ  ที่เข้าร่วมแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกปี  และเพื่อความเป็นธรรมแก่เรือที่เข้าร่วมแข่งขัน  ได้จัดเพิ่มเรือยาวขนาดกลาง  ขึ้นมาอีกขนาดหนึ่ง    รวมเป็น  3   ขนาด  คือ  ขนาดเล็ก ฝีพายไม่เกิน  30  คน  ขนาดกลางฝีพาย  ไม่เกิน 40  คน   ขนาดใหญ่ฝีพายไม่เกิน   55  คน  แต่ละขนาดแยกเป็น   2   ประเภท  คือ ประเภท  ก  และประเภท ข  ประเภท  ก  คือ  การแข่งขันเรือยาวทั่วไป  โดยเชิญจากทุกจังหวัดที่มีเรือยาวเข้าร่วมแข่งขัน  ส่วนประเภท  ข นั้น เราจะเชิญเฉพาะเรือยาวที่อยู่ในจังหวัดพิจิตร  เท่านั้นกำหนดวันแข่งขันจากวันจันทรคติ  คือวันขึ้น  6  ค่ำ  เดือน 10 มาเป็นวันสุริยคติ  คือ  เสาร์  อาทิตย์ ของต้นเดือนกันยายนทุกปี
                    ในปี    พ.ศ. 2524   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ    พระราชทานถ้วยรางวัล   เนื่องในการแข่งขันเรือยาวประเพณีของจังหวัดพิจิตร  ทั้ง  3  ประเภท  คือ ประเภทเรือยาวใหญ่ ขนาด 55 ฝีพาย    ประเภทเรือยาวกลาง ขนาด 31-40 ฝีพาย  และประเภทเรือยาวเล็ก 30 ฝีพาย     นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ฯ      หาที่สุดมิได้   ถ้วยรางวัลที่พระองค์ พระราชทานมานี้ได้สร้างความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดพิจิตร และ คณะกรรมการผู้จัดงาน หลังจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ได้พระราชทาน ถ้วยรางวัลแก่คณะกรรมการผู้จัดงานมานั้นแล้ว   ได้สร้างความสนใจแก่ประชาชนผู้มาชมงานเป็นอย่างยิ่งเพราะเรือยาวส่งเข้าแข่งขันมากขึ้นและประชาชนมาชมงานมากขึ้น รายได้จากการจัดงาน  ก็มากขึ้นมีผลให้เงินสุทธิของงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
                    เมื่อการจัดงานแข่งขันเรือยาวของจังหวัดพิจิตรเสร็จเรียบร้อย  แต่ละปีจะมีรายได้สุทธิเป็นจำนวนเท่าใด   ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร       ก็จะนำรายได้สุทธิจากงานนั้นส่วนหนึ่งถวายวัดท่าหลวง    ทางวัดได้นำเงินจำนวนนี้บูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดท่าหลวง   คือ   บูรณะกุฏิสงฆ์  อีกส่วนหนึ่งจะใช้ในกิจกรรมสาธารณกุศลต่าง ๆ เช่น  รายได้จากการจัดงานในปี  2538 -  2539  ปีเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษก  ได้นำเงินขึ้นทูลเกล้า ฯ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ    โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศรัย  จำนวนเงินถึง  3  ล้านบาท และการจัดงานประเพณีแข่งขันเรือยาวปี 2550 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา จังหวัดพิจิตรได้นำเงินรายได้จากการจัดงานขึ้นทูลเกล้าฯถวาย อีก จำนวน 3 ล้านบาท
                    ท่านที่มาชมงานแข่งขันเรือยาวของจังหวัดพิจิตร     ที่ได้สละปัจจัยบำรุงงาน(ซื้อบัตรผ่านประตู) ชื่อว่าท่านเป็นผู้มีส่วนบำรุงสาธารณกุศลในจังหวัดพิจิตรและได้ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรม  การกีฬาแข่งขันเรือยาวประเพณีอันดีงามของชาติให้คงอยู่ต่อไป  สำหรับปีนี้  จังหวัดพิจิตรจะจัดงานแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ในวันที่  5  -  7  กันยายน  2551  ท่านจะได้ชมขบวนเรือพยุหยาตราจำลองทางชลมารคที่สวยงามตระการตา หนึ่งในสยามของงานแข่งเรือ  การแข่งขันเรือยาวที่สนุกสนาน  เร้าใจ จากการประชันฝีพายเรือ ถึง 4 ประเภท  และยังได้เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพจาก โครงการหนึ่งตำบล  หนึ่งผลิตภัณฑ์   อีกด้วย